“การเมืองสามก๊ก” ยังคงสถิตอยู่กับประเทศไทยต่อไป แม้จะมีสภาพ “สามเหลี่ยมมรณะ” เนื่องจาก “พรรคส้ม กับ พรรคน้ำเงิน” ชิงจังหวะนรก จับมือกัน “หัก” พรรคสีแดง จนตกจากอำนาจอย่างเจ็บแสบไปแล้วก็ตาม
หนำซ้ำ คุณทักษิณ ยังเดินเข้าคุก และเกิดภาวะ “เลือดไหลออก” จากพรรคเพื่อไทยครั้งใหญ่ จนหลายฝ่ายประเมินว่า พรรคเพื่อไทย และตระกูลชินวัตร น่าจะถึงคราวล่มสลายทางการเมือง
แต่มีข้อมูลใหม่มาเล่าให้ฟังว่า การเมืองไทยจะยังอยู่ในภาวะ “สามก๊ก – สามเหลี่ยมมรณะ” ไม่ใช่เหลือแค่ 2 ก๊ก “ส้ม” กับ “น้ำเงิน” เพราะเริ่มเห็นร่องรอยว่า “พรรคสีแดง” ไม่ยอมตาย “ตระกูลชินวัตร” ยังไม่ยอมพ่ายแพ้ทางการเมือง
สัญญาณถูกส่งออกมาชัดเจนต่อจักรวาลการเมือง ทั้งโพสต์ก่อนเข้าคุกของคุณทักษิณ และการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคต่อไปของอดีตนายกฯ อิ๊งค์ ขณะที่ลูกพรรค แฟนคลับ ก็อวยยศให้เป็น “วีรบุรุษประชาธิปไตย” ยอมเดินเผชิญคุก ไม่หนีเหมือนที่ผ่านมา
ที่สำคัญแกนนำพรรคเพื่อไทย ภายใต้การกำกับของหัวหน้าพรรคคนเดิม (นายกฯ อิ๊งค์) กำลังใช้บริการ “มือกฎหมายนอกพรรค” ยกร่างคำร้องเตรียมยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน กรณีทำ MOA แลกเปลี่ยนระหว่างการเข้าสู่อำนาจ และผลประโยชน์ทางการเมืองบางประการ
ขณะที่อีกด้านก็มี “ดีลซ้อนดีล” ระหว่าง “พรรคสีแดง” กับ “พรรคสีส้ม” ด้วยเหมือนกัน ส่วน ดีล “พรรคสีน้ำเงิน” กับ “พรรคสีส้ม” เริ่มนับถอยหลังสู่จุดจบ
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกานักการเมือง เป็นสารตั้งต้นให้คุณทักษิณ ต้องเดินเข้าคุกจริงๆ ให้สัมภาษณ์ในรายการคมชัดลึก ทางเนชั่นทีวี โดยตั้งข้อสังเกตว่า คุณทักษิณไม่มีทางวางมือทางการเมือง เพราะ “การเมือง” ทำให้ตัวคุณทักษิณอยู่ได้ โดยเฉพาะธุรกิจของครอบครัว
ที่สำคัญ การพลิกเกมเพื่อล้มพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เรื่องยาก และยังมองว่า การเมืองขณะนี้ เหมือน “ละครลิง” เล่นหลอกประชาชนกันอยู่
อย่าลืมว่า จำนวนเสียงของ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” หรือ “รัฐบาล หนู 1” นั้น น้อยอย่างน่าใจหาย โอกาสถูกหักหลังตามทฤษฎี “สามเหลี่ยมมรณะ” มีโอกาสทุกเมื่อ ถ้า “ส้ม กับ น้ำเงิน” คุยกันไม่ลงตัว
จำนวนเสียง สส.ฝ่ายค้านเสียงข้างมาก กับรัฐบาลเสียงข้างน้อย ปัจจุบันห่างกันมากกว่า 1 เท่าตัว เพราะแค่พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชน รวมกันก็เกือบ 300 เสียงแล้ว
แม้ตอนโหวตนายกฯ อนุทิน จะได้คะแนนมากถึง 311 เสียง แต่เสียงจริงต้องหัก 143 เสียงของพรรคประชาชนออกไปก่อน ก็จะเหลือแค่ 167 เสียง
ขณะที่เสียงกึ่งหนึ่งของสภาปัจจุบันอยู่ที่ 246 เสียง จากจำนวน สส.เท่าที่มีอยู่ 491 คน การจะมีเสียงข้างมาก ต้องหา สส.มาสนับสนุนอีก 80 คน
แม้ในอนาคตอันใกล้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจสรุปผลการไต่สวนกรณี 44 สส.พรรคก้าวไกล และส่งศาลฎีกา จนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ในจำนวน 44 สส.นั้น มี สส.ที่มีสถานะอยู่ในสภาปัจจุบันแค่ 25 คน หาก สส.จำนวนนี้หายไป จะทำให้จำนวน สส.เท่าที่เหลืออยู่ และปฏิบัติหน้าที่ได้ จำนวน 466 คน กึ่งหนึ่งของสภา คือ 233 คน
หากรัฐบาลคุณอนุทิน ต้องการเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ยังต้องการเสียงสนับสนุนอีกมากกว่า 60 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหากหวังงูเห่าจากพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กับชาติไทยพัฒนา หากจะเปลี่ยนขั้วข้ามมา ก็ไม่มีตำแหน่งให้อีกแล้ว
ขณะเดียวกันก็มีข้อมูล “ดีลซ้อนดีล” ที่อาจทำให้การเมืองพลิกผันได้ทุกเมื่อ กล่าวคือ…
แต่เดิม ดีล “ส้ม กับ น้ำเงิน” มีจริง จนเกิดการตั้งรัฐบาล หนู 1 แต่ “สีแดง” ก็พยายามงอนง้อขอคืนดีกับ “สีส้ม” ปรากฏว่า บุคคลระดับผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม เคลียร์ใจกับแกนนำพรรคตัวเอง และแกนนำพรรคสีแดง บอกว่ามีการพูดคุยกันในทางลับที่ร้านลับแห่งหนึ่ง คำตอบที่ได้จากผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม ก็คือ “แดงกับส้ม ไม่ได้ล้มดีล เพราะวันนี้ก็ยังเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน” แปลว่ายังร่วมงานกันได้อยู่ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็มีเกมของฝั่งพรรคสีน้ำเงิน มีการเปิดตัว “ว่าที่รัฐมนตรีคนนอก” ให้ได้รับการยอมรับ สร้างจิตวิทยาการเมืองนำร่องก่อน
จากนั้นก็เตรียมนโยบายประชานิยมในแบบที่โดนใจประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยทำไม่ได้ เช่น เลือกหยิบผลงานที่ประสบความสำเร็จในอดีตมาปัดฝุ่นใหม่ อย่าง “โครงการคนละครึ่ง” โดยเลือกหยิบมาทำในช่วงเศรษฐกิจแย่ และเพื่อไทยล้มเหลวจากนโยบายแจกเงินหมื่น ทำให้ประชาชนพอใจ “คูณ 2” ส่งผลทางจิตวิทยาการเมืองแรงมาก
อีกด้านหนึ่งก็เตรียมจัดการปัญหากัมพูชาให้สำเร็จ พร้อมๆ กับสร้างกระแสชาตินิยมต่อเนื่อง
โดยประเมินว่าหากทำสำเร็จ จะมีเสียงเรียกร้องไม่ให้ยุบสภา ประชาชนอยากให้อยู่ยาว เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน โดยเฉพาะหากสร้างความเชื่อมั่นเรื่องเศรษฐกิจได้จริง
แต่ความท้าทายรัฐบาลภูมิใจไทย ก็คือ ความขัดแย้งกับพรรคประชาชน หรือ “พรรคสีส้ม” ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติ
เรื่องนี้กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้น หรือ นับหนึ่งความขัดแย้ง รวมถึง “นับถอยหลัง” การเผชิญหน้ากันระหว่างพรรคภูมิใจไทย หรือรัฐบาลภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน
ร่องรอยที่มองเห็นเค้าลางความขัดแย้ง คือ “หัวหน้าเท้ง” เปิดแถลงกดดัน “นายกฯ หนู” ทันที ทั้งๆ ที่ยังมีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่อง “ส.ส.ร.” ที่ต้องตีความ และหาทางออกร่วมกัน แต่พรรคประชาชนดึงดันให้ทำตามที่ตัวเองต้องการทันที บางเรื่องถึงกับบอกว่า ไม่ต้องรอตั้งรัฐบาล หรือแถลงนโยบายด้วยซ้ำ
ฝั่ง “นายกฯ หนู” ยังรักษาทรง ด้วยการตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาแนวทาง นำโดย คุณไชยชนก ชิดชอบ
ความเห็นต่างจะมีอย่างชัดเจน เพราะ คุณนิกร จำนง สส.ลายครามของพรรคชาติไทยพัฒนา มองว่า การตั้ง ส.ส.ร.จากการเลือกตั้งทางตรง “ทำไม่ได้” และหากฝืนทำ เช่น ไปตั้งเป็นคำถามประชามติ โดยใช้คำถามเปิดทางให้ตั้ง ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง 100% ก็จะมีมือดีไปยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีก เป้าหมายเพื่อ “ตีตก”
ขณะเดียวกัน เมื่อตรวจสอบท่าทีของ “สว.สีน้ำเงิน” แล้ว ยืนยันว่าต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด และออกตัวทันทีว่า สว.ไม่เกี่ยวอะไรกับการตั้งรัฐบาลภูมิใจไทย
เรื่องนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นแรงกดดันของพรรคส้ม ต่อ “ค่ายสีน้ำเงิน” และนานวันไป โอกาสแตกหักย่อมมีสูง โดยเฉพาะเมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเต็มตัว และมีอำนาจเต็มมือ จะมีกระบวนการทำให้ตัวเองมีเสียงข้างมาก หรือใกล้เคียงข้างมากให้มากที่สุด เพื่อจะได้เลิกยืมจมูก “พรรคส้ม” หายใจ
คำตอบสุดท้าย คือ ใครกำหัวใจประชาชนได้ ก็จะยืนอยู่ได้ในกระแสเชี่ยวกรากของ “การเมืองสามก๊ก”
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์